โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ
ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลมๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า แน่นอน
คนเราเมื่อ ตัวตาย ก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย
อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา
พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคนๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคนอีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง
เริมต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่าบังเอิญ ในเรื่องของความรัก
มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป
หลังพายุผ่นไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้ว พรุ่งนี้ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณหมดทุกคน
การท่องเที่ยว..คือหัวใจของเรามาท่องเที่ยวในประเทศเราดีกว่าเอาเงินออกไปเที่ยวต่างประเทศ อย่าคิดแค่ครั้งหนึ่งในชีวิตขอไปเที่ยวต่างแดนสักครั้ง คุณ.เคยถามตัวเองหรือปาวว่าคุณ.เห็นเมืองไทยทุกที่หรือยัง.?
วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
สงครามไม่มีคำว่าปราณี...
Tour..3 Days. (Kanchanaburi)..
สะพานข้ามแม่น้ำแคว ตั้งอยู่ที่ตำบลท่ามะขาม ห่างจากตัวเมืองไปทางทิศเหนือตามทางหลวงหมายเลข 323 ประมาณ 4 กิโลเมตร แยกซ้ายประมาณ 400 เมตร มีป้ายชี้บอกทางไว้ชัดเจน เป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งแห่งหนึ่ง สร้างขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยกองทัพญี่ปุ่นได้เกณฑ์เชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตร ได้แก่ ทหารอังกฤษ อเมริกัน ออสเตรเลีย ฮอลันดาและนิวซีแลนด์ประมาณ 61,700 คนและกรรมกรชาวจีน ญวน ชวา มลายู ไทย พม่า อินเดียอีกจำนวนมากมาก่อสร้างทางรถไฟสายยุทธศาสตร์เพื่อเป็นเส้นทางผ่านไปสู่ประเทศพม่า ซึ่งเส้นทางช่วงหนึ่งจะต้องข้ามแม่น้ำ
แควใหญ่จึงต้องมีการสร้างสะพานขึ้น การสร้างสะพานและทางรถไฟสายนี้เต็มไปด้วยความยากลำบาก ความทารุณของสงครามและโรคภัยตลอดจนการขาดแคลนอาหารทำให้เชลยศึกจำนวนหลายหมื่นคนต้องเสียชีวิตลง
วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
ตามรอย....พญานาค..
รอยพญานาค..รูปที่ผมถ่ายไว้กลางแม่น้ำโขง.
ตามรอยพญานาค ทางเดินพญานาคอันศักดิ์สิทธิ์นำพาไปสู่เกาะคำชะโนดหลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของสัตว์กึ่งเทพ หรือ“พญานาค”กันมาบ้างไม่มากก็น้อย เนื่องจาในแถบอุษาคเนย์ต่างก็มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับพญานาคแตกต่างกันออกไปกประเทศสำหรับเมืองไทย จังหวัดหนองคายถือเป็น“เมืองแห่งพญานาค” เพราะนอกจากจะมีคนพบร่องรอยของพญานาคในเมืองนี้อยู่บ่อยครั้งแล้ว ริมโขงเมืองหนองคาย-เวียงจันทน์ยังมี“บั้งไฟพญานาค”ปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในคืนวันออกพรรษาของทุกๆปีเป็นที่โด่งดังขึ้นชื่อลือชาไปไกล และปริศนาเกี่ยวกับพญานาคตามลำน้ำโขงนี่เองที่เป็นเหตุกระตุ้นให้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เดินทางท่องเที่ยวไปตามรอยพญานาคกันในจังหวัดลุ่มน้ำโขง(ภาคอีสาน) เพื่อศึกษาและเรียนรู้ถึงตำนานความเชื่อของพญานาค สัตว์กึ่งเทพที่สามารถพบเห็นรูปจำลองได้ทั่วตามศาสนสถานต่างๆในดินแดนอุษาคเนย์
1.อนึ่งก่อนที่จะไปเที่ยวตามรอยพญานาคกัน “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ของพาทุกท่านย้อนกลับไปในครั้งที่แม่น้ำโขงยังไม่ถือกำเนิดเกิดขึ้น บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อว่าเป็นประตูสู่วังนาคินทร์ สมัยนั้นมีเหล่าพญานาค 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีผู้นำชื่อว่า “สุทโธนาค” ส่วนอีกกลุ่มมีผู้น้ำชื่อ “สุวรรณนาค” อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งหนึ่งร่วมกันอย่างสงบสุขมาช้านาน โดยวิธีถ้อยทีถ้อยอาศัยหากฝ่ายใดออกไปหาอาหารอีกฝ่ายจะต้องอยู่เฝ้าอาณาจักร และอาหารที่หามาได้จะต้องแบ่งครึ่งกันกิน ต่อมามีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เมื่อฝ่ายสุทโธนาคและบริวารออกหาอาหารได้ช้างมา 1 ตัว และจัดแจงแบ่งครึ่งให้อีกฝ่ายตามปกติ ครั้งต่อมาฝ่ายสุวรรณนาคออกหาอาหารแล้วได้เม่นมา 1 ตัว และก็ได้แบ่งครึ่งเม่นนั้นให้อีกฝ่ายเป็นปกติเช่นกัน แต่เมื่อสุทโธนาคเห็นเม่นครึ่งหนึ่งก็เกิดฉงนใจขึ้นว่า ช้างซึ่งขนเล็กๆสั้นๆตนกลับแบ่งให้อีกฝ่ายตั้งเยอะ แต่เม่นซึ่งขนใหญ่กว่าก็แปลว่าเม่นต้องตัวใหญ่กว่าช้างแน่ๆ ทำไมสุวรรณนาคจึงแบ่งมาให้ฝ่ายตนเพียงนิดเดียว ทำให้สุทโธนาคเกิดโมโห แม้สุวรรณนาคจะพยายามอธิบายเท่าไรสุทโธนาคก็ไม่ยอมฟัง มุทะลุดุดันจะหาเรื่องให้ได้ จนในที่สุดก็ทะเลาะกันถึงขั้นรบราฆ่าฟันกันมาถึง 7 ปีหงอนพญานาค 1 ใน 2ชิ้น ที่วัดโพธิ์ชัยเก็บรักษาไว้ภายในตู้โชว์ในพระอุโบสถ ซึ่งการรบพุ่งของทั้งสองฝ่ายทำให้แผ่นดินสะเทือน เหล่าเทวดาฟ้าดินทั้งหลายอยู่ไม่เป็นสุข ความรู้ไปถึงพระอินทร์ จึงได้เรียกพญานาคทั้ง 2 ฝ่ายไปเจรจาสงบศึกโดยให้แต่ละฝ่ายแข่งกันสร้างแม่น้ำ หากฝ่ายใดสร้างไปออกทะเลก่อนเป็นฝ่ายชนะ และจะให้รางวัลเป็นปลาบึกไปประจำที่แม่น้ำแห่งนั้น
ด้วยความที่สุทโธนาคเป็นพญานาคที่มีนิสัยอารมณ์ร้อน มุทะลุ ขณะที่สร้างแม่น้ำหากมีอุปสรรคเช่นภูเขากั้นขวางทาง ก็จะระเบิดภูเขาหรือไม่ก็สร้างลดเลี้ยวไปโดยไม่พยายามที่จะแก้ปัญหา จึงได้แม่น้ำที่มีโขดหิน เกาะแก่งมากมายระเกะระกะ และมีเส้นทางที่ลดเลี้ยวเคียวคดโค้งไปโค้งมามากที่สุด ต่อมาจึงได้ชื่อว่า “แม่น้ำโขง”
ส่วนฝ่ายสุวรรณนาคเป็นพญานาคที่มีนิสัยสุภาพสุขุมใจเย็น จึงค่อยๆสร้างไปเรื่อยๆคิดไปเรื่อย ทำให้แม่น้ำที่สร้างเป็นเส้นตรง แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสร้างนานมากจนกลายเป็นที่มาของชื่อ “แม่น้ำน่าน” ซึ่งผลก็คือฝ่ายสุทโธนาคเป็นผู้ชนะ และได้ปลาบึกจากพระอินทร์เป็นรางวัลตามสัญญา จึงได้ถือว่าแม่น้ำนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของพญานาค ต่อมาเนื่องจากพญานาคเป็นสัตว์เมืองบาดาล ไม่สามารถอยู่บนโลกมนุษย์ได้นาน สุทโธนาคจึงได้ขอให้พระอินทร์กำหนดสถานที่อยู่ให้ชัดเจนและมีทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับเมืองมนุษย์ ซึ่งพระอินทร์ก็ได้กำหนดจุดที่เป็นประตูเชื่อมต่อไว้ 3 แห่งด้วยกันคือที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว 2 แห่ง และแห่งที่ 3 ให้เป็นที่พำนักของสุทโธนาคคือที่ คำชะโนด จังหวัดอุดรธานีในปัจจุบัน
2…หลังจากที่รู้เรื่องราวตำนานท้องถิ่นเกี่ยวกับพญานาค สัตว์กึ่งเทพที่มีอิทธิฤทธิ์กันแล้ว รถก็พาพวกเรามาถึงยัง “เมืองคำชะโนด” อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี และมาหยุดจอดตรงทางเดินพญานาคพอดิบพอดี ทางเดินนี้ดูสวยงามด้วยรูปร่างของพญานาค ซึ่งหากใครจะเดินทางผ่านทางเดินพญานาคแห่งนี้ไปยังเมืองคำชะโนดด้านในจะต้องถอดรองเท้า ถอดหมวกออกด้วยเพื่อเป็นการเคารพและให้เกียรติสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์หรือที่เรียกว่า “วังนาคินทร์” จุดชมบั้งไฟพญานาคที่สำคัญของเมืองโพนพิสัยอยู่ที่วัดไทยแห่งนี้ เพราะเชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของเมืองบาดาล หากใครได้สังเกตจะเห็นความแปลกของพื้นที่ รอบๆเกาะคำชะโนดจะเป็นทุ่งนาโล่งกว้าง มีเฉพาะที่เกาะคำชะโนดแห่งนี้เท่านั้นที่มีลักษณะเป็นป่าดงดิบประมาณ 20 กว่าไร่ โดยมีไม้หลักคือไม้ชะโนด ถ้าใครนึกไม่ออกว่าต้นชะโนดมีลักษณะเป็นอย่างไร “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ขอแนะนำให้นึกภาพต้นไม้ที่มีลักษณะเป็นลูกผสมระหว่างต้นตาล ต้นมะพร้าว และต้นหมาก ดูสูงชะรูดนั้นคือต้นชะโนดนั้นเองทางเดินพญานาคนำพวกเรามาถึงยังเมืองคำชะโนด หรือวังนาคินทร์ หรือ “วัดสิริสุทโธ” ทางด้านซ้ายมือจะมีศาลาที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อปู่ศรีสุทโธ หรือสุทโธนาค และเจ้าย่าปทุมมา ส่วนทางด้านขวามือหากเดินตามทางเดินไปเรื่อยๆจะเจอกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งในตำนานก็คือทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ของเหล่าพญานาคที่พระอินทร์ทรงประทานให้สำหรับเหตุที่เชื่อว่าบ่อน้ำแห่งนี้เป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากน้ำในบ่อน้ำแห่งนี้ก็ไม่เคยลดแห้งลง จะรักษาระดับอยู่เท่าเดิมตลอดทั้งปี และเคยมีคนเอาไม้ไผ่ 2 ลำมาต่อกันแล้วหยั่งลงไปดุความลึกของน้ำแต่หยั่งไม่ถึง เชื่อกันว่าน้ำในบ่อนี้จะไปทะลุที่สะดือแม่น้ำโขงหรือบริเวณวัดอาฮงศิลาวาส จ.หนองคายในปัจจุบันและความพิเศษของวังนาคินทร์แห่งนี้อีกประการหนึ่งก็คือ มีลักษณะเป็นเกาะที่ลอยน้ำ แม้รอบๆเกาะรวมถึงทางเดินพญานาคจะถูกน้ำท่วม แต่เมืองคำชะโนดแห่งนี้ไม่เคยถูกน้ำท่วมเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะเมื่อน้ำขึ้นเกาะคำชะโนดแห่งนี้ก็จะลอยตามน้ำไปด้วยชมวิวสะดือแม่น้ำโขงและวิวฝั่งประเทศลาวได้ที่วัดอาฮง นอกจากนี้บริเวณวัดสิริสุทโธ ยังเคยมีรอยพญานาคปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งด้วย โดยเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.2527 มีรอยพญานาคขนาดกว้างประมาณ 60-70 ซ.ม. ความยาวไปเรื่อยๆคล้ายลักษณะงูเลื้อย เกิดขึ้นทั่วบริเวณวัด ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2537 และครั้งล่าสุดเกิดรอยพญานาคขึ้นในวันขึ้น 9 ค่ำเดือน 11 ปี พ.ศ.2549 รอบศาลาวัด ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องน่าแปลกอีกเรื่องหนึ่งที่ชาวบ้านละแวกนี้เล่าให้พวกเราฟัง
3...
จากวัดสิริสุทโธ อุดรฯ พวกเราเคลื่อนย้ายพลข้ามจังหวัดตามรอยพญานาคกันต่อที่เมืองแห่งพญานาคหนองคาย ที่ “วัดโพธิ์ชัย” ต.ในเมือง อ.เมือง จ.หนองคาย ซึ่งเป็นวัดที่ประดิษฐานหลวงพ่อพระใส พระคู่บ้านคู่เมืองหนองคาย และยังเป็นวัดที่เก็บรักษาหงอนพญานาค 2 ชิ้น ซึ่งบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าแห่งอาณาจักรล้านช้างนำมาฝากไว้ที่วัดเพื่อให้ผู้คนกราบไหว้บูชา โดยหงอนพญานาคนี้เป็นรูปสามเหลี่ยมฐานยาว 4 นิ้ว สูง 6 นิ้ว มีรอยเป็นแนวตามความสูง 4 รอย กับ 5 รอย ฐานสีน้ำตาลเข้ม ปลายเป็นสีขาว โค้งงอเล็กน้อย ผิวขรุขระ เก็บอยู่ในตู้โชว์ ภายในพระอุโบสถ ชมพระพุทธรูปปางนาคปรกอันใหญ่โตมหึมาและความเป็นมาได้ที่ศาลาแก้วกู่ จากวัดโพธิ์ชัย พวกเราเดินทางไปต่ออารมณ์กันที่ “วัดไทย” ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เชื่อกันว่า เมืองบาดาลตั้งอยู่ใต้วัดไทยแห่งนี้ เนื่องจากนิมิตของท่านเจ้าอาวาส และปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น ฝากระโปรงรถเกิดรอยแปลกๆคล้ายรอยพญานาค เป็นต้น วัดนี้จึงเป็นศูนย์กลางที่จะลงไปสู่เมืองบาดาล ศูนย์กลางของการบวงสรวง ศูนย์การของการทำพิธีต่างๆ และที่วัดไทยแห่งนี้ยังเป็นจุดชมบั้งไฟพญานาคที่สำคัญของ อ.โพนพิสัย อีกด้วยสถานที่ต่อไปในการเดินทางตามรอยพญานาคคือ “วัดอาฮงศิลาวาส” ต.ไกสี อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ที่เชื่อกันว่าเป็น แม่น้ำโขงที่ไหลผ่านวัดอาฮง ช่วงกิโลเมตรที่ 115-116 คือ สะดือแม่น้ำโขง หรือจุดที่ลึกที่สุดของลำน้ำโขง เคยวัดความลึกในหน้าแล้งได้ถึง 99 วา และยังเชื่อด้วยว่าจุดนี้เชื่อมต่อกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองคำชะโนด จ.อุดรธานี
หลังจากที่พวกเราเก็บภาพบรรยากาศสวยงามประทับใจกันริมฝั่งโขง เบื้องหลังเป็นวิวทิวทัศน์ของลาวประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกันแล้ว ก็ไปจบเส้นทางตามรอยพญานาคกันที่ “ศาลาแก้วกู่” ต.หาดคำ อ.เมือง จ.หนองคาย สถานที่ที่เปรียบเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง แสดงรูปปั้นทางศาสนาต่างๆอันใหญ่ยักษ์มากมาย รวมถึงรูปปั้นทางคติความเชื่อโบราณและนิทานพื้นบ้านด้วย โดยเชื่อว่าทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีภายในพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งนี้ มีรูปปั้นเกี่ยวกับพญานาค โดยมีตำนานเล่าว่า ในสมัยที่เจ้าชายสิทธถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุติสุข ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจเผยแพร่พระพุทธศาสนาแก่เวไนยสัตว์ ท่านได้นั่งพิจารณาธรรมอยู่ใต้ต้นจิกริมสระน้ำแห่งหนึ่ง ปรากฏว่ามีฟ้าฝนกรรโชกแรงทำให้ท่านไม่สะดวกในการปฏิบัติธรรม พญานาคเห็นดังนั้นก็เลื้อยขึ้นมาขดตัว แล้วอัญเชิญพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นประทับนั่ง และแผ่คอเพื่อป้องฝนป้องลมไม่ให้เปียกพระวรกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนเป็นที่มาของพระพุทธรูปปางนาคปรกในปัจจุบันรอบๆเกาะคำชะโนดล้วนแต่เป็นพื้นที่โล่งกว้างผิดกับเกาะนี้ที่เป็นป่าชะโนดสูงชะลูดโดดเด่น
4…สำหรับพญานาค สัตว์กึ่งเทพที่มีอิทธิฤทธิ์สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่จะกลับสู่สภาพเดิมใน 5 สภาวการณ์คือ ตอนแรกเกิด ตอนลอกคราบ ตอนสมสู่ ตอนหลับไม่ได้สติ และตอนตาย โดยมีตำนานเล่าว่า เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ และเสด็จออกเผยแพร่พระพุทธศาสนา พญานาคได้ฟังก็บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงได้จำแลงแปลงกายเป็นชายมาขอบวชในพระพุทธศาสนากับพระพุทธเจ้า บ่อพญานาคที่สร้างเชื่อมต่อกับบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จริง โดยลูกไฟที่เหล่ามวลพญานาคพ่นขึ้นมาจากเมืองบาดาลนั้นมีลักษณะเป็นดวงกลมสีแดงอมชมพู พวยพุ่งขึ้นจากลำน้ำโขงไม่มีควัน ไม่มีกลิ่น หรือที่เราเรียกกันว่า “บั้งไฟพญานาค” ที่จะเกิดขึ้นในทุกๆวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ของทุกปีซึ่งตำนานอันเกี่ยวกับ“พญานาค” ทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่เล่าขานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน เป็นความเชื่อที่คนในท้องถิ่นนั้นๆรู้และเข้าใจกันในชุมชนของตน การจะเชื่อหรือไม่จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคล ส่วนใครยังอยากได้อรรถรสที่เต็มอิ่มและจุใจกว่านี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ก็ขอแนะนำให้ลองเดินทางมาฟังตำนานจากปากคนท้องถิ่นและร่วมตามรอยพญานาคจากคำชะโนดถึงเมืองหนองคายกันได้ด้วยตัวท่านเอง
วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
คำสอนของหลวงพ่อ..
1.อย่าทำร้ายความหวังใคร....เพราะอาจเหลืออยู่แค่นั้น
2.รู้จักฟังให้ดี...โอกาสทองบางทีก็มาถึงแว่วๆ...เท่านั้น
3.จะคิดการใด.จงคิดให้ใหญ่เข้าไว้ แต่เติมความสนุกสนานลงไปเล็กน้อย
4.หัดทำสิ่งดีๆ ให้กับคนอื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
5.จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดถูก บิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
6.ใครจะวิจารณ์อย่างไรก็ช่าง..ไม่ต้องเสียเวลาโต้ตอบ
7.ให้โอกาสผู้อื่นเป็น"ครั้งที่2"แต่อย่าให้ถึง"ครั้งที่3"
8.เราไม่ได้ต่อสู้กับคนโหดร้าย...แต่เราต่อสู้กับความโหดร้ายในตัวคน
9.เมื่อมีใครมาสวมกอดคุณ..ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
10.อย่าหวังไปเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
11.ประเมินตัวเองด้วยมาตรฐานของตนเอง..ไม่ใช่มาตรฐานของคนอื่น
12.คงไว้ซึ่งความเป็น คนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
13.ไม่ว่าจะตกอยู่ให้สถาณการณ์เพียงใด..สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
14.อย่าวิจารณ์นายจ้าง..ถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกไปซะ
15.คำนึงถึงการมี"ชีวิตกว้างขวาง"มากกว่าการมี"ชีวิตยืน"เข้าไว้
"คงไม่มีความคิดไหนดีเท่านี้แล้วล่ะถ้าเป็นไปได้นะ"
วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
บ้านเกิดของผม..สุโขทัย อยุธยา ...
Sukhothai Historical Park
More history and historical monuments of Thailand :
Ban Chiang Culture
Dvaravati Culture and Art
The Khmer Empire in Thailand The Kingdom of Sukhothai - THIS PAGE
The Kingdom of Ayutthaya
With Bangkok as the Capital : Rattanakosin Period 1 | Rattanakosin Period 2 | Outside Rattanakosin
Historical Parks of Thailand : Sukhothai - THIS PAGE | Si Satchanalai | Kamphaeng Phet
Main temple group at Wat Mahathat, Sukhothai ancient city.
Sukhothai Historical Park is a World Heritage Site. Important ancient monuments are contained within the old city walls and outside the city walls.
A characteristic feature of Sukhothai temple architecture is the lotus-bud chedi. It features a conical spire finial on a square-sided structure on top of a three-tiered base. However at Sukhothai also Sri Lankan and Srivijaya type monuments are present. Most of the temple structures in Sukhothai Historical Park were of course constructed during the Kingdom of Sukhothai era (from around 1235-1438 A.D.)
Inside the old city walls, Wat Mahathat occupies the largest section. It is a monastery about 200 meters square in size. Many original Buddha images are still present among the ruins. The compound contains no less than 198 chedis. The temple structures are described on the famous Sukhothai Stone Inscriptions.
Wat Si Sawai is located about 350 meters south of Wat Mahathat. Its three prangs were built in Lopburi style. Lintels, fragments of Hindu images and a linga indicate that the temple was initially a Hindu sanctuary. It was later transformed into a Buddhist temple.
Chedi at Wat Mahathat, Sukhothai Historical Park
Wat Sa Si is northwest of Wat Mahathat. Its round stupa serves as historical evidence of the influence of Sri Lankan (Sinhalese) Buddhism in old Sukhothai.
Outside the old city walls, Wat Phra Phai Luang is located close to the northern gate. It contains a group of ancient monuments of great significance. Among its many structures, it originally contained three buildings in prasat style. One of them is remaining and is adorned with stuccoed reliefs depicting the life of the Buddha. Its art details indicate that Sukhothai had cultural contact with the Khmer empire in the reign of Jayavarman VII and was also associated with Lavo (Lopburi), then a Khmer town of great importance in the central plain of Thailand.
Phra Atchana (Ajana) at Wat Si Chum, Sukhothai Historical Park
Northwest of the city wall, Wat Si Chum is much visited with a well known large sitting Buddha image. The image is also mentioned in the Sukhothai Stone Inscription No.1, and Phra Atchana (Ajana) is the name of the Buddha image. There are ancient drawings on the ceiling of the mandapa surrounding the Buddha, telling the stories of the former incarnations of the Buddha (Jatakas).
Wat Chang Lom is located east of the City. Similar temple compounds are present at Si Satchanalai and Kamphaeng Phet. The temple consists of a main bell-shaped chedi with 32 elephant statues around its base.
Besides the temples described there are many other temple structures scattered around old Sukhothai. It is best to hire a bicycle (easily available) to spend time visiting the sites.
Detail of Hand, Phra Atchana, Wat Si Chum, Sukhothai Historical Park
The Ramkhamhaeng National Museum is located within walking distance of Wat Mahathat. It is a good starting point for an exploration of the ruins. A replica of the famous Ramkhamhaeng inscription is kept here among a good collection of Sukhothai artifacts. You can see different Buddha images with different styles and origins. For linguists, there is a very nice section showing the evolution in time of Thai, Khmer, Mon scripts. King Ramkhamhaeng is credited with originating the original Thai written language.
The importance of Sukhothai in Thai history can not be understated. While the kingdom did not last that long in time, at the height of its power, its influence covered an area actually larger than present day Thailand. To the west its influence reached Pegu and Martaban. To the south, to present day Nakhon Si Thammarat. To the north, to Luang Prabang (present day Laos). This influence was not only gained by battle field conquests, but in large part by diplomacy, intermarriage in a pattern of political relationships based on vassals and overlords. Sukhothai however was not a state in the present day meaning of the word. Many parts of the kingdom retained important local power, while submitting themselves to Sukhothai.
Turismo Asia.
Turismo Asia formally known as Turismo Thai was founded back in 1976. The Company began as an incoming tour operator with just 5 employees who all shared the same vision, to delivery consistently high quality travel services to visitors traveling to Thailand.
Since then, Turismo Asia has become one of the leading Travel Management companies not just in Thailand, but the whole of the Asia Pacific Region.
Priding itself of retaining the core vision Turismo Asia is now recognized by the industry as the leading Travel Company in Thailand and has handled well over three million satisfied customers from around the world.
A network of 8 branches office around the country supports the Head Office, which is based in Bangkok, and employs a hand picked dedicated team of trained people all of which ensure Turismo Asia maintains it's number one position.
มัคคุเทศก์..'งานของผม
มัคคุเทศก์ Guides , Sightseeing Guides Travel Guides
นิยามอาชีพ
ผู้ปฏิบัติงานมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guidesทำหน้าที่ในการนำนักท่องเที่ยว หรือนักเดินทาง เดินทางท่องเที่ยว ทัศนาจรตามสถานที่ต่างๆ ตามแผนการทัศนาจร หรือตามโครงการนำเที่ยวของบริษัทจัดการนำเที่ยว หรือตามความต้องการของนักท่องเที่ยวหรือนักเดินทาง ในการให้ความรู้แก่นักท่วงเที่ยวด้วยการอธิบาย และบรรยายถึงสภาพ และสถานที่เที่ยวที่สำคัญด้านภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และเกร็ดความรู้ที่น่าสนใจ
ลักษณะของงานที่ทำ ผู้ปฏิบัติงานมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guides จะต้องศึกษา ค้นคว้า หาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่นำเที่ยว รวมทั้งความรู้ด้าน ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ จารีตประเพณี วัฒนธรรม วางแผนกำหนดเส้นทาง จัดกำหนดการนำเที่ยว ให้เหมาะสมกับฤดูกาล และระยะเวลา ติดต่อสถานที่พักแรม หรือเตรียมอุปกรณ์เพื่อการพักแรมในสถานที่ ที่จะนำเที่ยว
นำนักท่องเที่ยวชมสถานที่ และบรรยายให้นักท่องเที่ยวได้ทราบความเป็นมาของสถานที่ และท้องถิ่น แหล่งธรรมชาติที่น่าชม และน่าสนใจ ภูมิประเทศ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี ความเป็นอยู่ของประชาชน
จัดการพักแรม และดูแลให้ความสะดวกสบาย ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวในระหว่างการนำเที่ยว โดยพยายามจัดการให้บริการที่ต้องสร้างความพอใจ และประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวทุกคนอย่างทั่วถึงและต้องมีจรรยาบรรณทางวิชาชีพ
อาชีพมัคคุเทศก์ จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มตามกลุ่มของนักท่องเที่ยว คือ มัคคุเทศก์พาเที่ยวภายในประเทศ (Domestic) มัคคุเทศก์ท้องถิ่น และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ (Inbound) นอกจากนี้ ยังแบ่งกลุ่มมัคคุเทศก์ตามลักษณะของการท่องเที่ยว เช่น มัคคุเทศก์เดินป่า มัคคุเทศก์ทางทะเล มัคคุเทศก์ศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น
สภาพการจ้างงาน
ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ได้รับค่าตอบแทนการทำงานเป็นเงินเดือนประจำ หรือ ค่าจ้างเป็นเที่ยวในการพานักท่องเที่ยวออกไปท่องเที่ยว ซึ่งจะคิดค่าจ้างเป็นรายวันเฉลี่ยประมาณวันละ 1,500-3,000 บาท และอาจจะได้รับค่าตอบแทนถึง 100,000 บาทเป็นค่านายหน้าจากบริษัท หรือร้านที่นักทัศนาจรมา ซื้อของที่ระลึก หรือเข้าชมการแสดงในสถานที่ท่องเที่ยว ตามที่แต่ละแห่งได้ตั้งค่านายหน้าไว้
ผู้ทำงานมัคคุเทศก์มีกำหนดเวลาทำงานที่ไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับโครงการ และแผนการนำเที่ยว ซึ่งกำหนดไว้ในแต่ละรายการ ผู้ปฏิบัติงานนี้จะต้องผ่านการอบรมวิชาชีพมัคคุเทศก์ และมีความรู้ภาษาต่างประเทศซึ่งสามารถใช้งานได้ดี
สภาพการทำงาน
มัคคุเทศก์ จะทำงานตามช่วงระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยวมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 วัน ถึงสามหรือสี่สัปดาห์ และในขณะพานักท่องเที่ยวทัศนาจรต้องดูแลนักท่องเที่ยวตลอด 24 ชั่วโมง นำนักทัศนาจร หรือนักท่องเที่ยว ตั้งแต่คนเดียวจนถึงเป็นกลุ่ม หรือกลุ่มใหญ่ไปชมสถานที่ต่างๆ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัดตามที่กำหนดไว้ในแผนการนำเที่ยว การเดินทางอาจจะมีทั้งระยะใกล้ ไกล อาจใช้ยานพาหนะทุกประเภท อาจต้องนำเที่ยวในลักษณะผจญภัย อย่างเช่น ทัวร์ป่า การเดินขึ้นเขา การล่องแพ การค้างแรมร่วมกับกลุ่มชนชาวพื้นเมือง ขึ้นอยู่กับแผนการนำเที่ยว และรูปแบบของการท่องเที่ยว
มัคคุเทศก์จะต้องวางแผนติดต่อประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบริการ การอำนวยความสะดวก และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวตลอดเส้นทาง รวมไปถึงการให้ข้อมูลที่จำเป็น และให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวในการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประเภทของการท่องเที่ยว ตลอดจนตอบข้อซักถาม ให้คำแนะนำในระหว่างการเดินทางรวมทั้งต้องทำ กิจกรรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่ร่วมเดินทางทุกคนได้รับความสนุกสนาน ประทับใจ ในบางครั้งอาจจะต้องจัด กิจกรรม หรือให้บริการที่สร้างความพอใจให้กับนักท่องเที่ยวตามจุดประสงค์ที่นักท่องเที่ยวต้องการภายในระยะเวลาที่กำหนด และพร้อมที่จะแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ ตลอด 24 ชั่วโมง บางครั้งมัคคุเทศก์จะต้องทำงานหนักติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันต้องใช้ความอดทน และอดกลั้นสูง ดังนั้น ความพร้อม และความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย และจิตใจจึงมีความสำคัญมาก เพราะนักท่องเที่ยว มีอัธยาศัย และพื้นฐานความเป็นอยู่ และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป เมื่อมารวมกลุ่มกันจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างบรรยากาศให้สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยดี อีกทั้งได้รับความสุข ความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินด้วย มัคคุเทศก์จึงเปรียบเสมือนตัวแทนของท้องถิ่น และประเทศนั้น ๆ
คุณสมบัติของผู้ประกอบอาชีพ
ผู้ประกอบมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guides ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1. พูดภาษาต่างประเทศได้อย่างน้อย คือ ภาษาอังกฤษ
2. มีความรู้ทั่วไป และเป็นผู้ที่ขวนขวายหาความรู้สม่ำเสมอ
3. รักการเดินทางท่องเที่ยว และงานบริการ ปรับตัวได้ และเป็นนักแก้ไขปัญหาได้ดีใน ทุกสถานการณ์
4. มีความยืดหยุ่น ประนีประนอม และมีลักษณะอบอุ่นโอบอ้อมอารีเป็นที่ไว้วางใจของ ผู้เดินทางร่วมไปด้วย
5. มีความเป็นผู้นำ มีความกล้า มีความรอบคอบและไม่ประมาท
6. มีทัศนะคติดี ร่าเริง มีความเสียสละซื่อสัตย์ ซื่อตรง และอดทน
7. สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีไหวพริบและปฏิภาณดี
8. มีความคิดสร้างสรรค์ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
9. เป็นนักสื่อสารที่ดี รักการอธิบาย และการบรรยายความรู้ต่าง ๆ
10. เป็นนักจัดเก็บข้อมูลที่ดี ทั้งข้อมูลการ ท่องเที่ยว ความนิยมของลูกค้า และรายชื่อลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยว
ผู้ที่จะประกอบมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guides ควรเตรียมความพร้อมดังต่อไปนี้ : มัคคุเทศก์ท้องถิ่น เป็นผู้ที่มีวุฒิการศึกษาตั้งแต่ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขึ้นไป หรือเทียบเท่า และได้รับการอบรม เพิ่มเติม เพื่อรับวุฒิบัตรพัฒนาฝีมือแรงงาน(วพร.) เป็นเวลา 320 ชั่วโมง หรือ 40 วัน มัคคุเทศก์ภายในประเทศ และมัคคุเทศก์นำเที่ยวชาวต่างประเทศ เป็นผู้มีพื้นฐานการศึกษาระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไปต้องเข้ารับการอบรม และมีใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์จากสถาบันที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การรับรอง หรือ มหาวิทยาลัยที่เปิดสอนคณะ หรือสาขาวิชาธุรกิจ การท่องเที่ยว
โอกาสในการมีงานทำ
ตั้งแต่ปี 2539 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ทำเงินรายได้ให้ประเทศมากที่สุด และในปี2543 จะนำเงินเข้าประเทศได้ประมาณ 3 แสนล้านบาท โดยได้เปิดตลาดเพื่อส่งเสริมการขาย และการท่องเที่ยวของประเทศไทยในต่างประเทศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ประกอบการธุรกิจ การท่องเที่ยว ส่วนในประเทศได้เน้นการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว และศักยภาพในทุกด้านของทุกจังหวัด เพื่อส่งเสริม และรองรับคนไทยให้เที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยเน้นทั้ง ประวัติศาสตร์ โบราณสถาน วัฒนธรรม ประเพณีของทุกจังหวัด และทัวร์สิ่งแวดล้อม หรืออีโคทัวริสซึ่ม
แนวโน้มของคนในยุคปัจจุบันเมื่ออยู่ในสังคมใหม่จะแสวงหาวันหยุดที่ใกล้ชิดธรรมชาติ และความเงียบสงบ นักท่องเที่ยวต่างประเทศปัจจุบันจะเลือกเที่ยวในประเทศที่มีการจัดการและรักษา สิ่งแวดล้อม และสภาพทางนิเวศวิทยาที่ดีเท่านั้น อาจจะจัดเป็นทัวร์สุขภาพธรรมชาติบำบัด หรือรูปแบบการอบรมสัมมนาเนื้อหาทางพุทธศาสนา และทำสมาธิ การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับชาวบ้านเพื่อเรียนรู้ ภูมิปัญญา และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวบ้านเป็นต้น ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพที่จะจัดเป็นเส้นทางสำหรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ได้ ดังนั้น บุคคลผู้สนใจประกอบมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guidesสามารถเปิดการให้บริการ โดยสามารถจัดเป็นธุรกิจการท่องเที่ยวแบบเฉพาะกลุ่มของตนเองขึ้นบนเว็บไซต์ออนไลน์เสนอให้ผู้สนใจทั่วโลกเลือกพิจารณารูปแบบการท่องเที่ยวได้
อนึ่ง องค์การท่องเที่ยวโลกได้มีการสนับสนุนกำหนดให้ วันที่ 27 กันยายนของทุกปี เป็นวันท่องเที่ยวโลก โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาคมโลกตระหนักถึงความสำคัญของการท่องเที่ยวที่มี ต่อวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของประเทศและโลกโดยรวม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็ได้สนับสนุนอุตสาหกรรมนี้เพราะเล็งเห็นถึงความมีศักยภาพในการเป็นประตูไปสู่การท่องเที่ยว อินโดจีน หรือภูมิภาค เข้าสู่ จีน พม่า ลาว เขมร และเวียตนาม ซึ่งนับว่าอาชีพมัคคุเทศก์เป็นอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่จะมีส่วนในการพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ให้ได้มาตรฐานแล้วเป็น ผู้ส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากผู้บริโภคหรือนักท่องเที่ยวสนใจที่จะเลือกบริโภค ในประเทศที่อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเท่านั้นโอกาสการมีงานทำเป็นมัคคุเทศก์จึงค่อนข้างมีมากและมีโอกาสความ ก้าวหน้าในอาชีพ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรอบรู้ ความสามารถ และจรรยาบรรณในวิชาชีพของมัคคุเทศก์
แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าขาดมัคคุเทศก์ที่มีคุณภาพ ก็ไม่สามารถทำให้นโยบายดังกล่าวสัมฤทธิ์ผลได้ จึงได้มีการส่งเสริม และพัฒนามัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guides โดย ในปี 2543 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้จัดให้มีรางวัลพิเศษขึ้น คือ "มัคคุเทศก์ไทยดีเด่น " ในงานไทยแลนด์ทัวริสซึ่มอวอร์ด 2000 อันถือว่าเป็นงานยอดเยี่ยมของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่กระตุ้นให้ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการอนุรักษ์ และพัฒนาทรัพยากรการ ท่องเที่ยว ทั้งทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ ตลอดจนจัดการบริการให้มีมาตรฐาน
โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ
ความก้าวหน้าในมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guidesไม่ได้วัดกันที่ตำแหน่ง แต่สามารถวัดได้จากความสามารถทางด้านภาษา ความอดทน ความเป็นมืออาชีพ ดังนั้น ผู้ที่สนใจต้องการประกอบมัคคุเทศก์-Guides-Sightseeing-Guides-Travel-Guidesสามารถติดต่อได้ที่บริษัท จัดท่องเที่ยว เมื่อมีประสบการณ์ และสร้างเครือข่ายข้อมูลทางด้านการท่องเที่ยวได้มาก และสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องก็สามารถเปิดบริษัทเองได้ถ้าอยู่ในต่างจังหวัดสามารถ เปิดสำนักงานของตนเองได้แต่จะต้องสำรวจพื้นที่ที่ตนอยู่ และจังหวัดใกล้เคียงว่ามีแหล่งทรัพยากร การท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และจัดเป็นรูปแบบการเดินทางได้หรือไม่ จากนั้นก็จัดทำโฮมเพจ เสนอบริการ ขึ้นเว็บไซต์ตรงสู่ผู้สนใจ โดยปรึกษากับบริษัทที่ปรึกษาการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ได้ โดยใช้บ้านเป็นสำนักงาน
อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
จัดกลุ่มท่องเที่ยวแบบอิสระที่ตนมีความรู้ความชำนาญทั้งภายในประเทศ และต่างระเทศ เช่น ทัวร์ศิลปวัฒนธรรม ทัวร์เกษตรกรรม เป็นต้น
เปิดสถานที่ให้คำแนะนำการท่องเที่ยว จำหน่ายตั๋วเครื่องบิน ให้บริการยานพาหนะ เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถจักรยานภูเขา เรือเช่า หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่จำเป็น ให้กับนักเดินทาง และนักท่องเที่ยวจัดหา เป็นต้นหรือจำหน่ายสินค้าของที่ระลึกที่น่าสนใจ หรือหายากในประเทศ จัดศูนย์บริการข้อมูลการท่องเที่ยวท้องถิ่น จัดที่พักแรมเดินทางในแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จัดพิมพ์หนังสือคู่มือ การท่องเที่ยว และพิมพ์ภาพโปสการ์ดแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวสนใจ
แหล่งข้อมูลอื่น ๆ
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และการท่องเที่ยวประจำจังหวัด สมาคมมัคคุเทศก์แห่งประเทศไทย สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงานทั่วประเทศ เวบไซต์ เกี่ยวกับบ้านพัก โรงแรม การจัดประเภทมาตรฐานอาชีพ (ประเทศไทย)
Long Neck In Thailand.
About the Karen Long Neck Hilltribe - Padaung
The Padaung are a sub-group of Karen (Bwe Group) living in Kayah state of eastern Burma on the Thailand border. They number less than 40,000 people in total. The Padaung call themselves "Lae Kur" or "Kayan". They have their own language which belongs to the Kenmic group in the Tibeto-Burman language family.
The Karen themseves are not one homogeneous group but rather a loose confederation of heterogeneous and closely related tribes. Among the smallest of the Karen tribes in Thailand are the Karen Padaung.
In Thailand, only a few families of Padaung have settled temporarily as refugees in Muang District of Mae Hong Son Province, near Ban Tha Ton in Chiang Rai Province, and as of June 2005 a small group near Chiang Dao. Generally they live among other hilltribes groups, mostly Karen.
The Padaung escaped from the Kaya State in Burma to Thailand in the mid to late 1900's and are actually refugees of a political turmoil. They belong to the Karenni sub-group of the Karen People, which are still fighting for their independence in Burma.
The Karen-Padaung occupied central Burma before the Burmese arrived from the North and they, together with the ancient Mon, farmed the Irrawaddy and Salween Valleys and built civilizations based on their unique cultures.
The Padaung women famously wear brass rings around their necks. This distorts the growth of their collarbones and make them look as if they have long necks - which they don't. This row of brass rings do not actually stretch their necks but in fact squash the vertebrae and collar bones. A woman generally has about twenty or more rings around her neck. This neck ring adornment is started when the girls are 5 or 6 years old.
The rings on the arms and the legs are not quite as prominent as those on the neck simply because the neck rings are so pronounced. However, these rings are just as important. The rings on the arms are worn on the forearm from the wrist to the elbow. Those on the legs are worn from the ankles to the knees, and cloth coverings are kept over most of these rings, from the shins down to the ankles.
Most of Padaung are animists, but about 10 percent are Buddhists. Now, the number of Christians is increasing because of the Roman Catholic mission. The annual festival for the fertility and prosperity of the whole community is usually held at the beginning of the rainy season. Sacrifices are made to the spirits for good health and bountiful harvests. Rice is the Padaung main crop.
ดอกบัว...
Christian Lotus flower....
The Christian alternative to the lotus is the white lily which, relating to Mary as queen of heaven, signifies both fertility and purity. Traditionally the Archangel Gabriel carries the lily of the Annunciation to the Virgin Mary. "Blessed are the pure in heart," said Jesus, "for they shall see God." The teachings of the Galilean Master and those of India's great yogis were cut from the same cloth of self-realization.
Indian Yoga Lotus flower
The Indian Lotus flower symbolizes divinity, fertility, wealth, knowledge and enlightenment. It is associated with the goddess of wealth, Maha Lakshmi, who brings prosperity, purity and generosity. She sits on a fully blossomed lotus flower, symbolizing purity, beauty and
everything that is good.
"We were talking - about the space between us all and the people -
Who hide themselves behind a wall of illusion never glimpsing the truth
Then it's far too late when they pass away.
We were talking - about the love we all could share
When we find it - to try our best to hold it there - with our love
With our love we could save the world - if they only knew
Try to realize it's all within yourself - no-one else can make you change
And to see you're really only very small
And life flows on within you and without you.
We were talking - about the love that's gone so cold
And the people who gain the world and lose their soul
They don't know, they can't see - are you one of them?
When you've seen beyond yourself
Then you may find peace of mind is waiting there
And the time will come when you see we are all one
And life flows on within you and without you."
The Christian alternative to the lotus is the white lily which, relating to Mary as queen of heaven, signifies both fertility and purity. Traditionally the Archangel Gabriel carries the lily of the Annunciation to the Virgin Mary. "Blessed are the pure in heart," said Jesus, "for they shall see God." The teachings of the Galilean Master and those of India's great yogis were cut from the same cloth of self-realization.
Indian Yoga Lotus flower
The Indian Lotus flower symbolizes divinity, fertility, wealth, knowledge and enlightenment. It is associated with the goddess of wealth, Maha Lakshmi, who brings prosperity, purity and generosity. She sits on a fully blossomed lotus flower, symbolizing purity, beauty and
everything that is good.
"We were talking - about the space between us all and the people -
Who hide themselves behind a wall of illusion never glimpsing the truth
Then it's far too late when they pass away.
We were talking - about the love we all could share
When we find it - to try our best to hold it there - with our love
With our love we could save the world - if they only knew
Try to realize it's all within yourself - no-one else can make you change
And to see you're really only very small
And life flows on within you and without you.
We were talking - about the love that's gone so cold
And the people who gain the world and lose their soul
They don't know, they can't see - are you one of them?
When you've seen beyond yourself
Then you may find peace of mind is waiting there
And the time will come when you see we are all one
And life flows on within you and without you."
บนเส้นทางของการเดินทาง..
Rarely do you find someone bored in Thailand… There's always something to see! Certainly one of the inevitable ingredients to a trip to Thailand is plenty of trips to temples - they really are great places to see so this is no obligatory chore! Unlike some tourist attractions in other countries, Thailand's temples are not just historical sites
dressed up to cater for visiting tourists; they are integral components of normal daily life. Wat Phra Kaew in Bangkok is an excellent example. Although as far as a tourist is concerned a visit to Wat Phra Kaew in Bangkok is equivalent to a visit to the Eiffel Tower in Paris or Tower Bridge in London, locals visit the temple to worship and make merit. Although they might at times be significantly outnumbered, you will see locals at prayer here, as you will at all of the temples on Thailand's tourist track. Temples are not though the only places that reflect Thailand's history and culture that are worthy of a visit.
Thailand's King and Royal Family are probably more revered than monarchs in any country in the world. Their status is reflected in the grandeur of Thailand's royal palaces. These truly are spectacular places to visit and receive a glimpse of Thailand's regal past and an insight into the lives of Thai royalty. In many of the palaces there are museums reflecting aspects of Thailand's past, but museums are by no means restricted to royal palaces - there are scores around the country. Bangkok's National Museum does a thorough job of reflecting all aspects of this diverse country, but each Thai province has its own museum reflecting important aspects of the locality's past and present. Often directly alongside Thailand's museums there are a number of galleries reflecting the country's art though the work of past and present artists. Thailand also boasts numerous theatres and cultural centres which host traditional Thai theatre and dance and offer cultural shows and events. Of course, as with any country in the world, when you visit Thailand you should visit its monuments and shrines. Although you may not grasp their full significance, they still warrant visits; who would go to France without visiting the Arc de Triomphe? And what visit to Thailand would be complete without seeing a Thai boxing match or a trip to a floating market?
One of the key reasons people visit Thailand is the physical beauty of the place and for the adventurous there is plenty to see. Thailand abounds with waterfalls, hot springs and places of natural beauty. There are caves to see and mountains and hills to visit. But even in the cities and towns there flower gardens to escape to.
You will never want for a place to visit and something to see in Thailand. The wealth of attractions makes a trip easy and means you can plan what you want to see with relative ease. Make the most of what's on offer, and make the best of your time in the kingdom.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
แผ่นศิลาจารึกพระนาม สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อครั้งเสด็จเยี่ยมชมอุทยานแห่งชาติผาแต้ม วันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2531...
-
ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งย่อมต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดอกไม้แสนสวยถ้าขาดแมลงสักวันดอกไม้งามก็ต้องจากหายไป ดอกไม้งามไม่ควรหยิ่งผยองกั...
-
ถ้าใครมีโอกาสไปแม่สะเรียงขอแนะนำลองแวะที่วัดนี้ดูนะครับเป็นอีกวัดหนึ่งที่ฝรั่งชอบมากแนะนำให้ไปถึงวัดสักแปดโมงเช้าเพราะวัดนี้เป็นวัดป่าจะไ...
-
โซกพระร่วงลองพระขรรค์ โซกพระร่วงลองพระขรรค์ เล่ากันว่าวันหนึ่งพระร่วงออกเที่ยวป่าทางทิศใต้ของเมือง มาถึงลำธารแห่งหนึ่งมีน้ำไหลผ่านก้อนหินต...